pattern

ด้านมืดของ Social Network ภัยร้ายที่คุณอาจคาดไม่ถึง

     11,930

pattern

dark-side-of-social-network

ด้านมืดของ Social Network : ภัยร้ายที่คุณอาจคาดไม่ถึง

ในปี 2019 คงไม่มีใครในโลกเสรีที่ไม่รู้จักคำว่า “Facebook” หรือ “Twitter” กันแล้ว ในฐานะ 2 ผู้ให้บริการเครือข่ายทางสังคม หรือ Social Network รายใหญ่ของโลก ซึ่งมีผู้ใช้อยู่มากมาย เริ่มตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน หรือแม้กระทั่งผู้สูงอายุ เกิดเป็นกลุ่มก้อนทางสังคมใหม่ที่มีอิทธิพลต่อโลกปัจจุบันอย่างปฏิเสธไม่ได้  

Social Network ทำให้คุณสามารถพูดคุยกับเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานาน อ่านเรื่องตลกที่เพื่อนคุณเจอหลังมื้อเที่ยง หรือคุณอยากสร้างความอิจฉาให้กับเพื่อนของคุณด้วยรูปถ่ายในวันหยุดพักร้อน คุณก็ทำได้ ซึ่งนั่นคือประโยชน์ที่คุณใช้ Social Network ในการแสดงออกถึงการกระทำ ความคิด และกิจกรรมต่าง ๆ แต่ทว่าโลกที่อำนวยความสะดวกทางสังคมให้คุณอยู่ทุกวันนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นจะมีแต่ด้านดีเสมอไป

การที่คุณได้แบ่งปันข้อมูลและแสดงความคิดแบบ Real-time

ใน Social Network นั้นอาจกลายเป็นเครื่องมือ “ประจาน” ตัวคุณ และ “ทำลาย” ชื่อเสียงของคุณได้ โดยไม่ใช่แค่ในระดับครอบครัว ในระดับโรงเรียน หรือในระดับที่ทำงาน แต่ Social Network สามารถทำลายคุณได้อย่างร้ายแรงในระดับโลก และอาจเป็นตราบาปติดตัวคุณไปตลอดชีวิต เพียงคุณตั้งสถานะของคุณไว้เพียงไม่กี่วินาที แถมโลกยังสามารถค้นหา และเรียกคืนสิ่งเหล่านั้นมาพูดกันซ้ำไปซ้ำมาได้อีกหลายสิบปี นอกจากนี้ยังเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีในการแสวงหาผลประโยชน์จากตัวคุณ หรือใช้คุณเป็นเครื่องมือเพื่อก่อภัยต่าง ๆ

ตัวอย่างภัยต่างๆ จากการใช้ Social Network

การกระทำของคุณที่มองเห็นได้ “ทั้งโลก”

เมื่อคุณพูดหรือแชร์อะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง หากพูดกันตามปกติคำพูดก็ลอยหายไป และมีคนฟังเท่าจำนวนที่คุณเห็น แต่หากเป็นการพูดหรือการแชร์ใน Social Networkแล้วล่ะก็ การกระทำนั้นจะบินไปหาทุกคนที่เป็นเพื่อนกับคุณทุกคนในทันใด และไม่สนว่าคุณจะรู้จักเขาจริง ๆ หรือไม่ และถ้าหากการกระทำของคุณถูกโต้ตอบโดยเพื่อนของคุณ เพื่อนของเพื่อนคุณก็จะเห็นการกระทำของคุณต่อกันไปเป็นทอด ๆ แตกตัวออกทวีคูณยิ่งกว่าอะมีบ้าในสระน้ำซะอีก ถ้าคุณพูดหรือแชร์อะไรดี ๆ ก็ดีไปครับ แต่ถ้าคุณกระทำอะไรที่ไม่เข้าหูกับสังคมแล้ว งานนี้ก็เตรียมปี๊บคลุมหัวไว้เลย หรืออาจจะร้ายแรงถึงขั้นฟ้องร้องเลยก็เป็นได้

ใน 1,000 คนของเพื่อนคุณนั้น คุณรู้จักจริงๆ กี่คน?

ในค่านิยมของคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะในวัยรุ่นนั้น ตัวเลขเพื่อนใน Social Network สามารถบ่งบอกได้ถึงสถานะความเป็นที่รู้จักของตนเอง และความมั่งคั่งทางสังคมได้ เช่นคุณมีเพื่อน 1,000 คน เปรียบเทียบกับคนที่คุณไม่ค่อยชอบหน้าซึ่งมีเพื่อนอยู่เพียง 100 คน ความแตกต่างก็เกิดขึ้นแล้ว และคุณก็จะเอาตัวเลขนี้มาสนับสนุนความคิดส่วนตัวของคุณว่า เขานิสัยไม่ดี เขาจึงมีเพื่อนน้อย

แต่ถ้ากลับมาตั้งคำถามใหม่ว่า เพื่อนของคุณ 1,000 คน คุณรู้จักกี่คน?

คุณก็อาจจะแพ้คนที่คุณไม่ชอบซึ่งมีเพื่อนอยู่เพียง 100 คนไปเลยก็ได้ เพราะเขาอาจบอกได้ครบ 100 คนว่าเพื่อนของเขาเป็นใครมาจากไหน และเกี่ยวอะไรกัน แต่จากคุณที่ยังระบุได้ไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำว่าเป็นใครบ้าง ซึ่งทีแรกอาจมองในแง่ดีว่าคนติดตามคุณเยอะ แต่ในความเป็นจริงแล้วยิ่งมีคนไม่รู้จักมาติดตามคุณมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะมีภัยจาก Social Network ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ต่างจากคนที่มีเพื่อนเพียง 100 คน ที่เขาสามารถจะสื่อสารข้อมูลอะไรออกไปก็ได้โดยไม่ต้องกังวล เพราะเขารู้จักทุกคนนั่นเอง

และยิ่งมีงานวิจัยล่าสุดระบบออกมาชัดเจนว่า Facebook นั้นหั่นทฤษฎีความสัมพันธ์ 6 ขั้นลง เหลือเพียง 4.74 ขั้น ซึ่งมองเผิน ๆ แล้วอาจจะดี แต่ในความจริงแล้วการที่คุณนินทาแล้วฝั่งตรงข้ามสามารถรู้ข้อมูลของคุณได้ เพียง 4.74 ขั้นนั้น มันไม่สวยเลยครับ

dark-side-of-social-network

ทฤษฎีความสัมพันธ์ 6 ขั้น (The Six Degree of Separation)

สุ่มตัวอย่างระหว่าง คุณ กับ คุณญาญ่า นางเอกช่อง 3 นะครับ (น่ารัก)
1. คุณ เป็นเพื่อนกับคุณ A ซึ่งทำงานเป็นช่างภาพอยู่ในนิตยสารรถแข่ง (ไม่เกี่ยวกับละครเลย)
2. กองบรรณาธิการของคุณ A เคยส่งคุณ A ไปอบรมถ่ายภาพ แล้วจับคู่ทำกิจกรรมกับคุณ B
3. คุณ B ทำงานอยู่ในโมเดลลิ่ง และเคยทานข้าวกับคุณ C เพื่อคุยธุรกิจ
4. คุณ Cทำงานอยู่ในโมเดลลิ่งอีกแห่งหนึ่ง และสนิทสนมกับคุณ D
5. คุณ D เป็นผู้จัดการส่วนตัวของ คุณณเดช
6. คุณณเดช ถ่ายละครกับคุณญาญ่า

คุณจะมองเห็นแต่ข้อเท็จจริง (ที่หาไม่ได้)

อีกหนึ่งสิ่งที่นับว่าเป็นภัยเงียบ นั่นก็คือภัยจากการแบ่งปันแบบลูกโซ่ ซึ่ง Social Network เปิดโอกาสให้คุณสามารถแชร์ข้อมูลได้ทุกเรื่องทุกอย่างออกไปได้เรื่อย ๆ ไม่รู้จบ แต่เมื่อมีผู้ไม่หวังดีนำการแชร์ไปใช้ในทางที่ผิด ความผิดก็จะตกอยู่กับผู้ใช้ที่ไม่ไตร่ตรองและระมัดระวัง ที่แชร์ทุกอย่างโดยที่ไม่ตระหนักว่าข้อความ รูปภาพ หรือข้อมูลเหล่านั้นจะมีผลอย่างไรตามมา และตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่กอบโกยผลประโยชน์อยู่เบื้องหลังโดยไม่รู้ตัว ทั้งข่าวลวง ข่าวเท็จ ข่าวที่ทำให้เกิดความเกลียดชังหรือแตกแยก ภาพปลอม การเรี่ยไรเงิน การกล่าวอ้างการกุศล รายได้เสริมทางอินเทอร์เน็ต ยาลดความอ้วน หรืออื่นใดก็ตาม ซึ่งข่าวเหล่านี้ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ นอกจากตัวคุณเอง

รู้ตัวไหม? คุณกำลังถูกขาย

แน่นอนว่าคุณมีความสุขกับการได้ใช้ Social Network ฟรี แต่คุณเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าผู้ให้บริการเอารายได้มาจากไหนเพื่อเปิด เซิร์ฟเวอร์ให้คุณได้แชร์รูปปาร์ตี้เมื่อวาน หากยังไม่ทราบผมจะเฉลยให้ครับ รายได้หลักของผู้ให้บริการพวกนี้คือการโฆษณานั่นเอง เพราะ Social Network ทุกแห่งเปิดโอกาสให้บริษัท ห้างร้าน หรือองค์กรใด ๆ เข้ามาโฆษณาเชื้อเชิญคุณได้ และการโฆษณาที่มีคุณภาพคือการโฆษณาที่ตรงกับเป้าหมาย ซึ่งการจะรู้ว่าเป้าหมายต้องการอะไรนั้นผู้ให้บริการจะต้อง “เก็บข้อมูล” ของเป้าหมายนั่นเอง

dark-side-of-social-network

ข้อมูลของคุณ คือเงินของพวกเขา

ทุกอักขระที่คุณพิมพ์ลงไปใน Social Network ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ หรือการค้นหา และทุกการคลิกของคุณ ไม่ว่าคุณจะไปกด Like หรือ Tweet หรือการกระทำอะไรก็ตาม ผู้ให้บริการจะจดจำข้อมูลของคุณไว้ และเลือกโฆษณาที่สอดคล้องกับการกระทำของคุณออกมา หากคุณกด Like เรื่องสัตว์เลี้ยง สารพัดอาหารสัตว์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีโฆษณาก็จะปรากฏให้คุณดู ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องที่อำนวยความสะดวกแก่ตัวคุณ แต่จริง ๆ แล้วมันยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะข้อมูลของคุณในมือของผู้ให้บริการ สามารถนำไปขายหรือแลกเปลี่ยนให้กับบริษัทวิจัยการตลาด บริษัทเก็บสถิติ หรือแม้แต่เจ้าของโฆษณาเอง เพราะข้อมูลของคุณ คือเงินของพวกเขา

ผู้ไม่หวังดีพร้อมโจมตีคุณทุกเมื่อ!

Social Network นั้นมีความเสี่ยงจากแฮกเกอร์ ไวรัส ขโมย และอาชญากรอื่น ๆ เป็นจำนวนมากอย่างที่คุณคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเกิดจากความพลั้งเผลอ หรือเกิดจากการที่คุณเปิดช่องโหว่โดยไม่รู้ตัว ทั้งการเข้าไปยังลิงก์แปลก ๆ ที่มีคนแชร์เข้ามา การเข้าหน้าเว็บไซด์ Social Network อย่างไม่ถูกวิธี หรือว่าการกระทำอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยง ซึ่งเหล่าผู้ไม่หวังดีก็จะฉวยโอกาสเอารหัสผ่าน หรือข้อมูลความเป็นส่วนตัวใด ๆ ไปใช้ในทางที่ผิดได้

dark-side-of-social-network

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าใจคือการแชร์บัตรประจำตัวใหม่ เช่น บัตรประชาชน และใบขับขี่ เพราะเป็นธรรมดาสำหรับคนที่ชื่นชอบ Social Network เมื่อได้อะไรใหม่ ๆ ก็ต้องถ่ายรูปโชว์เพื่อน โดยที่หารู้ไม่ว่าใบขับขี่ที่ถ่ายภาพลงมาแชร์ในเครือข่ายทางสังคมนั้นมีทั้ง ชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวประชาชนอยู่ ซึ่งมากพอในการนำไปใช้สมัครเว็บไซด์ หรือนำข้อมูลมาสวมตัวให้ผู้ไม่หวังดีได้กระทำผิดบนโลกออนไลน์ได้อย่างง่าย ได้ผ่านชื่อของคุณ!

แล้วเราจะรับมืออย่างไร?

จากตัวอย่างข้างต้นเราก็พอจะทราบถึงภัยของ Social Network ที่เราเล่นกันอยู่ทุกวันกันแล้ว แต่ทว่าจะเลิกใช้ไปเลยก็ไม่ใช่ (เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!) เพราะประโยชน์ดี ๆ ของ Social Network นั้นยังมีอีกมากมาย แต่เราจะมีวิธีป้องกันภัยอันตรายของเครือข่ายทางสังคมที่กว้างขวางนี้ได้อย่างไรกัน

1. ใช้ความระมัดระวังในการคลิกลิงก์ต่าง ๆ ที่มากับการแชร์ หรือข้อความ หลีกเลี่ยงลิงก์แปลกปลอม หรือมาจากบุคคลที่ไม่รู้จัก หรือแม้แต่เพื่อนซึ่งใช้ภาษาในการสื่อสารดูที่แปลกไปจากปกติ เพราะอาจเป็นลิงก์ที่นำไปสู่ไวรัส หรือช่องทางขโมยข้อมูลของเหล่าแฮกเกอร์

2. พิมพ์ที่อยู่ URL ของเว็บไซด์เครือข่ายทางสังคมนั้น ๆ โดยตรงบนเบราว์เซอร์ หลีกเลี่ยงการเข้าเครือข่ายทางสังคมผ่านทางคลิกลิงก์จากผลแสดงการค้นหา หรือจากอีเมล เพราะอาจเป็น URL ปลอมที่นำคุณไปยังเว็บไซด์ปลอมเพื่อหลอกเอาบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่านได้ เช่น www.facebook.com อาจมี URL หลอกเป็น www.faeebook.com

3. คุณจะต้องเป็นผู้คัดกรองคนที่ขอเป็นเพื่อน หลีกเลี่ยงการตอบรับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เพราะผู้ไม่หวังดีอาจแฝงมากับคนที่ขอเข้ามาเป็นเพื่อคุณ (ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดคือเพื่อนที่ชอบ Tag ยาลดความอ้วนหรือรายได้เสริมผ่านอินเทอร์เน็ต) ซึ่งหากพบบุคคลที่เป็นเพื่อนซึ่งเราไม่รู้จักและน่าสงสัย ก็ควรลบออกไป

4. ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ซึ่งผู้ให้บริการแต่ละรายจะมีการให้กำหนดการตั้งค่าส่วนบุคคลไว้ เพื่อไม่ให้ข้อมูล หรือการกระทำของคุณหลุดออกไปยังบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ เช่นตั้งค่าให้เพื่อนเท่านั้นที่เห็นการกระทำของคุณ และหลีกเลี่ยงการตั้งค่าการกระทำของคุณเป็นสาธารณะ

5. ไม่แสดงข้อมูลส่วนตัวที่เป็นความลับ เช่น บัตรประชำตัวประชาชน หรือบัตรเครดิตลงในเครือข่ายทางสังคม ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบข้อความ หรือรูปภาพ เพราะแฮกเกอร์และผู้ไม่หวังดีสามารถแฝงตัวมากับกลุ่มเพื่อนที่คุณอนุญาตให้ เข้าชมได้

6. เปิดการใช้งาน Do Not Track เพื่อป้องกันการติดตามและการเก็บข้อมูลของผู้ให้บริการ ซึ่งอาจรวมไปถึงผู้ไม่หวังดีลักลอบเข้ามาขโมยข้อมูลด้วย ซึ่งปัจจุบันมีเว็บเบราว์เซอร์ที่เปิดใช้งาน Do Not Track ได้แล้ว

7. คุณต้องใช้วิจารณญาณอย่างสูงในการเสพข้อมูลใน Social Network และอย่าปักใจเชื่อถือข้อมูลที่แชร์เข้ามาในทันที รวมทั้งการกล่าวอ้างถึงแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น ๆ เพราะอาจมีการสวมรอย หรือสมอ้างจากผู้ไม่หวังดีเพื่อสร้างข่าว หรือดิสเครดิตแหล่งที่มานั้น ๆ ก็เป็นได้

8. หากคุณเป็นผู้ปกครองต้องดูแลควบคุมการใช้งาน Social Network ของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด (ไม่ใช่การปิดกั้นนะครับ) และสอนให้เด็กรู้จักวิเคราะห์ข้อมูล และรู้จักเล่นอย่างถูกวิธี เพราะความรู้ใน Social Network ก็มีอยู่มากมาย และปัจจุบันอาจารย์ก็ทันสมัยเสียจนแจ้งเรื่องต่าง ๆ กับลูกศิษย์ผ่าน Facebook หรือ Twitter แล้ว

9. คุณต้องใช้งาน Social Network ด้วยความตระหนักว่ามันเป็นสังคมเสรีแห่งหนึ่ง แม้ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น แต่ทุกคำพูดและการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็สามารถเป็นเหตุในการฟ้องร้องได้ และศาลก็รับฟังคำร้องด้วย (มีตัวอย่างกรณีที่สามีฟ้องภรรยา โดยภรรยาแชร์รูปถ่ายนำแหวนไปมอบให้บุคคลที่ 3 ซึ่งศาลถือว่าเป็นสินสมรส)

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการป้องกันคุณจากภัยในโลกของ Social Network ในเบื้องต้นเท่านั้น สุดท้ายนี้ผมไม่ได้กล่าวโทษว่าเป็นความเป็นของ Social Network แต่อย่างไร แต่หากว่าคุณมี “สติ” ในการใช้งาน และเลือกใช้ประโยชน์จาก Social Network ด้วยความสร้างสรรค์บนพื้นฐานของความระมัดระวังและรอบครอบ คุณก็จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของภัยที่มีอยู่มากมายในโลกของอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน

Credit - lenovothailand

how-to-watch-naver-tv-by-use-bullvpn

บริการ BullVPN อิสระบนโลกอินเทอร์เน็ต ทะลุบล็อกข้อจำกัดต่าง ๆ 

✅ ปกปิดตัวตนซ่อน IP 

✅ ทะลุบล็อกเว็บไซต์ต่าง ๆ

✅ เล่นเว็บนอกได้

✅ ป้องกันการถูกแฮกจากฟรีวายฟาย ร้านกาแฟต่าง ๆ

✅ ปรับอินเทอร์เน็ตออกนอกดีขึ้นทำให้โหลดข้อมูลเร็วขึ้น

✅ ลดแล็ก ลดปิงเกมก็ได้